หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หนังใหม่ FURY หรือความกล้าหาญทำงานเพื่อประเทศชาติ

บทวิจารณ์หนัง FURY หรือไม่ก็ วีรกรรมทำเพื่อชาติ




ซึ่งอันที่แน่แท้แก่นของตัวอย่างหนังใหม่สงครามนั้นคงหนีไม่พ้นประเด็นไม่กี่อย่างนั่นคือ

  • ข้อแรก การนำเสนอความรักชาติกับพวกพ้อง
  • ข้อสอง ผลพวงจากสงครามรอยบาดแผลพร้อมกับคราบเลือเลื่องดรวมไปถึงคราบน้ำตา 
  • ข้อสาม การขายที่บังตาห้ำหั่นกันระหว่างฝ่ายดีพร้อมกับฝ่ายศัตรู


ด้วยกันแน่นอนว่าหนังสงครามแล้วขึ้นชื่อว่าคนชนชาติใดเป็นผู้สร้างก็มักจะต้องเขียนบท เข้าข้าง ประวัติบุคคลศาสตร์ชาติของตัวเองเป็นสำคัญ ว่ากันง่ายๆ เลยก็คือหนังสงครามส่วนมากก็มักจักปลุกกระแสชาตินิยมเป็นปกติ ด้วยกันมักจักต้องโยนขี้ไม่ก็พยายามทำให้อีกฝ่ายหนึ่งดูมีความ ชอบธรรม น้อยกว่าเพื่อจะได้เป็นข้ออ้างในการเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามเพราะว่าไม่ต้องพยายามหาความมีมนุษยธรรมมาทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น



ซึ่งหนังอย่างเรื่อง Fury นั้นอาจจะกล่าวได้ว่ามันมีแนวคิดตามที่ระบุมาข้างต้นเกือบครบครันทุกประการ ตัวหนังทูลเล่าเรื่องราวของพลรถถังกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงเวลาปลายสงครามโลกครั้งที่ 2

ซึ่งฝ่ายอเมริกานั้นได้รับมอบหมายทำให้ทำการรบกับศัตรูอย่างนาซีแบบเต็มพิกัดด้วยกันเป้าหมายเดียวของพวกเขาก็คือการตีเข้าใจกลางเยอรมันให้ย่อยยับราบพนาศรัย เพราะว่ารถถังที่เป็นยานพาหนะสำคัญให้กลุ่มตัวเอกได้ใช้เดินเรื่องก็คือ รถถังเอ็ม 4 ที่ชื่อว่าฟิวรี่ แน่นอนว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการต่อสู้ไม่ว่าทหารฝ่ายใดก็ตามก็ล้วนเหนื่อยล้าพร้อมกับอิดโรยจากความยาวนานของการรบราฆ่าฟัน ดังนั้นจิตวิญญาณของเหล่าทหารก็ริเริ่มร่อยหรอเข้าไปทุกที



พร้อมด้วยทางผู้กำกับหนังใหม่ของเรื่องอย่างเดวิด เอเยอร์นั้น ตั้งใจนำเสนอภาพสงครามออกมาพาฝันค่อนข้างน้อยกว่าหนังสงครามเรื่องอื่นๆ เขานำเสนอภาพความรุนแรง ดิบ โหดร้ายพร้อมกับสมแน่ๆ ไม่ว่าจักเป็นเศษชิ้นเนื้อมนุษย์ที่หลุดกระจายปลิวว่อนตลอดเรื่อง

สิ่งที่แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของทหารในเรื่องนี้จักไม่ได้ถูกนำเสนอในฐานะของฮีโร่ผู้พิทักษ์อเมริกา แต่พวกเขาจักเป็นแค่คนธรรมดากลุ่มหนึ่งที่เดิมพันชีวิตของตัวเองฝากไว้กับรถถัง ด้วยกันความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับกลับมานั้นไม่ใช่แค่แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น แต่มันยังบาดลึกลงไปถึงจิตใจของพวกเขาด้วย พร้อมทั้งความสูญเสียระหว่างพลทหารด้วยกันเองนั้นยิ่งสร้างความรู้สึกเกลียดชังฝ่ายศัตรูอยู่ทุกครั้นเมื่อ



โดยที่ตัวละครของ โลแกน เลอร์แมน ที่แสดงในบทบาทของนอร์แมน เด็กชายวัยรุ่นที่กระโจนเข้ามาในสงครามครั้งนี้ด้วยความจำเป็น เขาเป็นภาพแทนของผ้าขาวที่กำลังถูกทำให้เปื้อนด้วยความเลวร้ายของสงครามที่ตลอดเวลาที่หนังดำเนินเรื่องไปนั้น เขาก็ได้เรียนรู้การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การรับผิดชอบต่อส่วนรวม พร้อมทั้งแน่นอนมันทำให้เขาต้องจับอาวุธเพื่อฆ่าคนไม่เช่นนั้น สมมติเขาไม่ลั่นไกกระสุนออกไป อีกหลายชีวิตในพรรคพวกของตัวเองก็อาจจะต้องพบจุดจบ พูดง่ายๆคือหนังทั้งเรื่องถูกนำเสนอทะลุสายตาของเขา ซึ่งกล่าวได้ว่ามันคือการก้าวทะลุพ้นวัยของตัวละคร

พร้อมด้วยตัวละครอีกหนึ่งตัวที่โดดเด่นไม่แพ้นักแสดงเลยก็คือรถถัง Fury ซึ่งมู่ลี่รถถังในหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์สู้รบกับฝ่ายตรงข้ามนั้น การจู่โจมและการเคลื่อนที่ของตัวรถถังในเรื่องเชี่ยวชาญสร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมลุ้นไปกับตัวละครพร้อมด้วยรถถัง Fury ได้อย่างนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว




ซึ่งอย่างไรก็ตามแม้ว่าพระเอกของเรื่องอย่างแบรด พิตต์ จักมีม่านบังตาถอดเสื้อโชว์กล้ามเป็นอาหารตาในช่วงกลางเรื่องก็ตาม แต่นอกเหนือจากพลังดาราแล้ว หนังอย่าง Fury ก็ยังทำหน้าที่เป็นหนังสงครามฟอร์มกลางที่ไม่ได้ตั้งใจใส่ที่บังตาสงครามชนิดยิงกันโครมครามหูดับตับไหม้ มันยังนำเสนอเรื่องราวที่ตัวละครจักต้องตัดสินใจพร้อมกับเโจษจันกเดิน แม้ว่าสุดท้ายแล้วโปรแกรมหนังจะไม่จบลงในสไตล์วีรบุรุษก็ตาม แต่หนังก็เลือกระฉ่อนกที่จักนำเสนอว่าท้ายที่สุดแล้ว บางครั้งการเอื้ออาทรแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อาจจักเป็นทางเดียวที่สงครามจักยุติลง

@พริตตี้ปลาสลิด

ให้คะแนน 3.5 คะแนนจาก 5 คะแนน




  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY
  • FURY

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น